SF(แก้บน) M*Tong เพราะเธอคือของขวัญ...
*เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง ไม่มีจุดมุ่งหมายจะทำให้บุคคล สถานที่หรือสิ่งใดก็ตามได้รับความเสียหาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*
ตอนที่2 อดีต...
กวินทร์ทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนในวัยเด็กของตัวเอง(ซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นห้องของเขาด้วยเหมือนกัน)ด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก เขามองไปรอบๆห้องที่ถูกจัดแต่งให้เหมือนห้องนั่งเล่นทั่วไปก็พบว่ามันต่างไปจากเมื่อก่อนอยู่ไม่น้อย เขาเคยจำได้ลางๆก่อนที่จะย้ายไปสเปนว่าทายาทของตระกูลพุกหอมคนนี้เป็นนักดนตรีประจำโรงเรียนที่เล่นเปียโนเก่งมากๆ ตั้งแต่เด็กแล้วที่สุทธินันท์มักจะเดินสายประกวดนั่นนี่เสมอ ทั้งร่วมกับวงออเคสตร้าของโรงเรียนและแบบเดี่ยว รูปถ่ายและใบเกียรติบัตรที่ติดหราอยู่เต็มฝาผนังด้านหนึ่งของห้องนี้บ่งบอกว่าชายหนุ่มได้ผ่านการแข่งขันมากมายแค่ไหน จนกระทั่งจบมัธยมต้นเขาก็ไม่ได้แข่งขันอีกเลย…
และช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่กวินทร์ย้ายออกไป…
“ใจลอยอะไรอยู่เหรอตอง” เสียงประตูที่เปิดออกตามด้วยเสียงเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นทำให้กวินทร์ต้องสะดุ้งและหันไปมอง ก็พบกับเจ้าของใบเกียรติบัตรมากมายส่งยิ้มบางๆมาให้ แต่เขาไม่มีอารมณ์จะมายิ้มตอบตอนนี้
“จะเข้ามาทำไมไม่เคาะประตูก่อน”
“เคาะทำไม นี่มันห้องพี่นะ เรานั่นแหละจะเข้ามาทำไมไม่ขออนุญาตก่อน” ถามกลับพลางเลิกคิ้วจนอีกฝ่ายไปต่อไม่ได้
“ท...ทำไมต้องขอ นี่มันก็ห้องผมเหมือนกัน อย่าลืมสิว่าคุณป้าให้ผมย้ายมาอยู่ห้องนี้แล้ว” แทนที่จะมีท่าทีสลดแต่กลับเถียงฉอดๆจนสุทธินันท์ต้องกลั้นขำ กวินทร์เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก ทั้งสรีระทั้งนิสัย โดยเฉพาะเรื่องความไม่ยอมใครนี่คงจะมาเป็นที่หนึ่ง น่าสงสารคนที่ต้องต่อล้อต่อเถียงด้วยจริงๆ…
“โอเคๆ พี่ยอมแพ้ก็ได้” สุทธินันท์พูดยิ้มๆก่อนจะเดินไปยังห้องนอนของตนที่อยู่อีกฝั่งของห้องนี้ ก่อนจะเงียบหายไปเสียจนคนที่นั่งอยู่ตรงห้องนั่งเล่นเริ่มอึดอัด
เข้าไปทำอะไรของเขา?
กวินทร์เอ่ยในใจก่อนจะเป็นฝ่ายเดินไปที่ห้องนั้นเสียเอง ตอนแรกกะจะเปิดประตูเข้าไปหาแต่ก็ต้องชะงักมือไว้เพราะเมื่อครู่เพิ่งเตือนอีกฝ่ายเรื่องเคาะประตูก่อนเข้าห้องไปหยกๆ ดังนั้นมือที่เตรียมจะกำลูกบิดในตอนแรกจึงเปลี่ยนมาลงที่ประตูแทน
ก๊อกๆ
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน กวินทร์จึงตั้งท่าจะเปิดประตู แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูออกมาพอดีและจ๊ะเอ๋กับเขาจังๆในระยะประชิด กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่เสื้อของชายหนุ่มที่ปะปนกับกลิ่นน้ำหอมจางๆทำให้คนเป็นน้องขาชาจนก้าวไปไหนไม่ได้...
ก...ใกล้เกินไปแล้ว
“ทำไมเหรอ?” เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังเอ่ยพลางอมยิ้มเล็กๆทำเอาสติของกวินทร์แทบกระเจิดกระเจิง
แม้อีกฝ่ายจะสูงไล่เลี่ยกันกับเขาและไม่ได้มีสรีระทางร่างกายแตกต่างกันเท่าไหร่ แต่เพราะดวงตาที่อ่อนโยนและรอยยิ้มนั่นก็ทำให้นักเรียนนอกไขว้เขวได้ไม่น้อย...
ตอง นายจะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาดนะ
“ฮัลโหลเทส มีใครอยู่มั้ย?” น้ำเสียงหยอกล้อของสุทธินันท์ปลุกให้กวินทร์ตื่นจากภวังค์ เมื่อรู้ตัวแล้วจึงค่อยๆก้าวถอยหลังออกมาและกอดอกมองอีกฝ่ายอย่างมีทิฐิ
“ก็...ก็แค่จะมาถามว่าเข้าไปทำอะไร”
“มาเอาหนังสือไปคืนตั้มน่ะ” ว่าพลางยกหนังสือเล่มหนาในมือให้อีกคนดู กวินทร์มองหนังสือในมือของอีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้าเหมือนทำทีรับรู้ไปงั้นๆ คนเป็นพี่ไม่พูดอะไรแต่คว้าข้อมือของน้องชายออกไปจากห้องโดยที่กวินทร์ได้แต่ทำหน้าเหลอหลาและมีท่าทีขัดขืนเล็กน้อย
“พี่จะพาผมไปไหน ปล่อยนะ!”
“ตามมาเหอะน่า~” สุทธินันท์ใช้น้ำเสียงแบบที่เคยใช้ตอนเด็กๆหลอกล่อเพื่อให้อีกคนตามมาแต่โดยดี และก็ได้ผล กวินทร์ยอมเดินก้มหน้างุดตามเขาลงมาที่ชั้นล่างและก็พอดีกับที่ธนบูรณ์กำลังลาคุณณัฐวัฒน์และคุณสาลินีย์เพื่อกลับบ้าน
“ไปก่อนนะครับคุณลุงคุณป้า คราวหลังจะแวะมาหาใหม่”
“โชคดีลูก แล้วเปียโนที่เจ้าเอ็มส่งไปซ่อมเป็นยังไงบ้าง” คุณณัฐวัฒน์ถามถึงอาการของรักของหวงของลูกชายที่ได้รับการซ่อมแซมหลังจากที่เพิ่งเสียไปตอนน้ำท่วม
“ใช้ได้เหมือนเดิมแล้วครับ เกษารัตน์มิวสิกโปรดักชั่นซะอย่าง”
“ขี้โม้จริง อะ นี่หนังสือ” สุทธินันท์ผละมือจากกวินทร์เข้ามาขัดบทสนทนาพลางยื่นหนังสือคืนให้แก่เจ้าของ ธนบูรณ์หันมาค้อนปะหล่ำปะหลักก่อนจะเข้าไปกอดเพื่อนสนิท
“แต่ยังไงก็ขอบใจแกมากนะเว้ย ถ้าแกไม่ซ่อมเปียโนหลังนั้นให้ฉันก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง” สุทธินันท์ตบหลังเพื่อนรักไปเบาๆ
“ผมรู้ไงว่าป๋าผูกพันกับมันมาก งั้นผมไปก่อนนะ เมื่อกี้เลขาฯไลน์มาบอกว่ามีลูกค้ามาขอติดต่อทำเรื่องให้วงออเคสตร้าบริษัทผมไปบรรเลงในงานแต่ง ไปก่อนนะ” ธนบูรณ์โบกมือลาพลางเดินไปที่หน้าประตูคฤหาสน์ แต่ก่อนจะได้ก้าวลงจากบันได เขาก็หันมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“อ้อป๋า เปียโนอยู่ที่สวนหลังบ้านนะ” ว่าจบก็เดินไปขึ้นรถคันโปรดที่จอดรออยู่และขับออกไปจากบริเวณคฤหาสน์ สุทธินันท์มองตามหลังรถที่ทะยานออกไปด้วยแววตาชื่นชม สมัยเด็กธนบูรณ์เป็นเด็กที่มีฐานะปานกลางไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก แต่เพราะความสามารถทางด้านดนตรีและความมุมานะจึงทำให้เจ้าตัวสามารถเรียนจบได้และได้ทุนไปศึกษาด้านดนตรีและศิลปกรรมต่อที่ฝรั่งเศสจนจบปริญญาเอก หลังจากเรียนจบมาเขาจึงใช้เงินก้อนที่สะสมมาตลอดชีวิตเปิดบริษัทเล็กๆเกี่ยวกับวงดนตรีและการซ่อมเครื่องดนตรี จากนั้นจึงพัฒนามาเรื่อยๆจนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับแนวหน้าของไทย ซึ่งความสำเร็จของธนบูรณ์ในฐานะประธานบริษัทที่อายุน้อยเป็นอันดับต้นๆของประเทศนั้นสามารถสร้างความทึ่งให้กับสุทธินันท์ได้ไม่น้อย แม้ตัวเขาเองจะเป็นประธานบริษัทเช่นกันและบริษัทของเขาจะใหญ่กว่าบริษัทของเพื่อนก็ตามที แต่เพราะพื้นฐานของเขานั้นเป็นคนที่เพียบพร้อมไปแทบทุกอย่างจนทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยได้พยายามเหมือนใครๆมากนักที่จะประสบความสำเร็จ และคงเพราะความเพียบพร้อมตั้งแต่กำเนิดนี่แหละจึงทำให้สุทธินันท์คิดว่ามันเป็นสาเหตุที่เพื่อนสนิทอย่างธนบูรณ์ติดที่จะเรียกเขาว่าป๋ามาโดยตลอด ทั้งที่จริงๆแล้วคนที่สมควรจะถูกเรียกว่าป๋าคืออีกฝ่ายซะมากกว่า…
ไม่ใช่เพราะรวยเงินทอง แต่เพราะรวยสติปัญญา ความสามารถและความพยายาม…
“เอ็มไม่ไปลองเปียโนหน่อยเหรอลูก เผื่อขาดตกบกพร่องตรงไหนจะได้ให้ตั้มเอาไปแก้เพิ่ม”
คุณสาลินีย์หันมาถามบุตรชายที่ยืนทำหน้าทะเล้นใส่ลูกชายของเพื่อนรุ่นน้อง สุทธินันท์หันกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงของมารดาก่อนจะตอบว่า
“ก็ว่าจะไปอยู่ครับ ตองไปด้วยกันมั้ย”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมขอไปตามหาอเลนก่อนดีกว่า” ด้วยกลัวว่าจะโดนซักไซ้อะไรมากไปกว่านี้ กวินทร์จึงเลือกที่จะเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้นแทน สุทธินันท์มองคู่หมั้นของตัวเองไปด้วยแววตาละห้อย คนเป็นพ่อเห็นท่าทีลูกชายเป็นเช่นนั้นจึงค่อยๆใช้มือวางที่ไหล่ของลูกและบีบเบาๆเหมือนให้กำลังใจ
“ให้เวลาน้องหน่อยเถอะลูก น้องคงกำลังสับสน”
“น้องคงไม่ได้สับสนหรอกครับพ่อ น้องน่าจะยังไม่ยอมรับผมมากกว่า...”
…
“อเลน!! นายหายไปไหนเนี่ย อเลน!!” กวินทร์ร้องเรียกเพื่อนสนิทที่หายไปหลังจากมื้ออาหาร ปกติเพื่อนของเขาไม่เคยหนีไปไหนเฉยๆแบบนี้…
“โกรธอะไรหรือเปล่านะ?” ชายหนุ่มเอ่ยกับตัวเองก่อนจะสะดุ้งเมื่อจู่ๆก็มีมือของใครบางคนยื่นดอกกุหลาบมาให้จากข้างหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็กลายเป็นว่าถูกคนที่กำลังตามหาดันติดกำแพงซะเอง
“หายไปไหนมาเนี่ย แล้วนี่อย่าบอกนะว่าไปเอาดอกกุหลาบของคุณป้ามา” คำถามภาษาสเปนที่ออกมาจากปากของเพื่อนสนิททำให้อเลนถึงกับหน้าซีด
“อ้าว!? ท่านหวงเหรอ งั้นเราจะไปขอโทษ”
“เอ๊ย ไม่ต้องก็ได้ ทางโน้นมีอีกเป็นสวนเลย คุณป้าไม่หวงหรอก”
“เฮ้อ งั้นก็แล้วไป อะ เราให้นายนะทาล” อเลนว่าจบก็ยื่นดอกกุหลาบสีชมพูอ่อนให้กับเพื่อนของเขา
“ขอบใจนะ” คนตัวเล็กกว่ากล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มสดใสจนอเลนอมยิ้มตามไปด้วย เขาจะเห็นแก่ตัวเกินไปไหม ถ้าไม่อยากเสียรอยยิ้มนี้ให้กับใคร…
โดยเฉพาะผู้ชายที่ชื่อเอ็มคนนั้น…
เสียงเปียโนที่บรรเลงขึ้นทำให้คนทั้งสองต้องเงียบเสียงลงเพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนท่วงทำนองแห่งความสุข กวินทร์และอเลนค่อยๆเดินตามหาที่มาของเสียงก็พบว่าคนเป็นพี่กำลังตั้งหน้าตั้งตาจรดนิ้วมือตามโน๊ตที่ถูกต้อง สวนหลังบ้านที่โอบล้อมไปด้วยไม้ยืนต้น พุ่มไม้และดอกไม้นานาชนิดที่มีสัตว์มากมายมาอาศัยอยู่ นกน้อยที่กำลังร้องเพลงรับกับเสียงเปียโน กระรอกตัวน้อยที่วิ่งเล่นอยู่บนต้นไม้ ผีเสื้อที่เคล้าคลออยู่ตรงเกสรดอกไม้ดอกแล้วดอกเล่า แต่ไม่มีสิ่งไหนที่จะดึงดูดสายตาของทั้งสองคนได้เท่ากับร่างสูงที่ศาลาใจกลางสวน ซึ่งวันนี้ใส่เสื้อคอปกแขนยาวสีอ่อนเข้ากับกางเกงผ้าเนื้อดีสีเข้มที่กำลังเล่นสนุกกับเปียโนสีขาว ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในนิยายอย่างไรอย่างนั้น…
โดยที่ไม่รู้ตัว กวินทร์ก็เผลอฟังอีกคนเล่นเปียโนอย่างตั้งใจเสียแล้ว อเลนมองดวงตาคู่นั้นด้วยความรู้สึกที่ปวดหนึบในใจจนเหมือนน้ำตาจะไหล ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและอะไรหลายๆอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายออกมาได้…
และแน่นอนว่าไม่เคยได้รับ…
“ทาเล… โอ๊ะ”
“โอ๊ะ!!” คำอุทานที่แผ่วเบาออกจากปากคนทั้งคู่เมื่อเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกหันกลับมาและจมูกชนเข้ากับปลายคางอีกคนพอดี การที่ได้เห็นดวงตาของอีกคนในระยะประชิดแบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนเวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า…
ดวงตาคู่สวยที่กวินทร์ปราถนาอยากจะมีมาตลอด…
ดวงตาสดใสที่อเลนหลงใหล…
และก่อนที่จะมีฝ่ายใดรู้ตัว อเลนก็ค่อยๆโน้มหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายซะแล้ว…
“ร...เราไปอ่านหนังสือก่อนนะ” คนที่เป็นฝ่ายรู้สึกตัวก่อนผลักหน้าอีกคนออกก่อนจะรีบจ้ำอ้าวหนีไปจากตรงนั้น อเลนมองตามแผ่นหลังที่เดินไวๆหายไปด้วยความเสียดายและความรู้สึกผิดปะปนกัน…
รู้ดีว่าไม่ควรทำ แต่ก็ไม่อยากเสียไป…
“เมื่อกี้นายจะทำอะไรตอง อเลน” ภาษาสเปนที่เอ่ยออกมาจากปากของใครบางคนทำให้เจ้าของภาษาต้องหันไปมอง ก็พบกับดวงตาคู่คมที่จ้องมาเหมือนไม่พอใจกับอะไรบางอย่างที่ได้เห็นและหมายมั่นที่จะเอาอะไรสักอย่าง…
อย่างน้อยก็เป็นคำตอบ อย่างมากก็ชีวิตของเขาเอง…
“ผม… ผมแค่”
“ถ้านายไม่ตอบฉัน ฉันจะไม่ส่งนายให้กลับสเปนไปแบบครบ32แน่” คำขู่ที่เป็นดั่งคำประกาศศึกนั้นทำให้อเลนต้องถอดคราบเพื่อนที่แสนดีมาเล่นบทตัวโกงจนได้…
“ถ้าพี่ทำได้ก็เอา ผมไม่ได้พิการขนาดที่จะให้ใครมาทำร้ายได้ง่ายๆนะ”
“ตองเป็นของฉัน ห้ามใครแตะต้องเด็กคนนั้น!!” บุตรชายคนเดียวของตระกูลพุกหอมปรี่เข้าไปจับที่คอเสื้อของคนอายุน้อยกว่าก่อนจะพูดจาสั่งด้วยแววตาดุดัน แต่เจ้าของดวงตาสีมรกตก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด
“พี่ไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวทาลทั้งนั้น ทาลเป็นเพื่อนผม เรารู้จักกันมาเป็น10กว่าปี คิดเอาแล้วกันว่าเขาจะเลือกใคร ระหว่างเพื่อนรักที่อยู่ด้วยกันมา13ปี กับลูกเพื่อนแม่ที่ไม่ได้เจอกันมา13ปี” ว่าจบก็ใช้มือดันอกของอีกฝ่ายออกไปและมองอย่างเย้ยหยัน สุทธินันท์มองใบหน้านั้นอย่างโกรธแค้น แต่ไม่นานเขาก็เปลี่ยนเป็นถอนหายใจก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาหนุ่งร่างสูงโปร่งและเลือกที่จะเดินผ่านไป…
พร้อมทิ้งคำพูดลงท้ายที่ทำเอาหนุ่มฝรั่งต้องสะอึก…
“งั้นนายก็ลองกลับไปคิดดีๆเหมือนกันนะ ว่ารักครั้งแรกอย่างฉัน กับเพื่อนรักอย่างนายตองจะผูกพันกับใครมากกว่ากัน อ้อ แล้วอีกอย่างตอนนี้ฉันก็ไม่ใช่รักครั้งแรกอย่างเดียว แต่เป็นคู่หมั้นของตองด้วย...” สุทธินันท์พูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่งก่อนจะเดินเข้าไปในคฤหาสน์ อเลนได้ยินเช่นนั้นก็กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ภาพที่ร่างสูงกำลังเล่นเปียโนตอนนั้น สายตาของเพื่อนที่มอง ไหนจะทำนองเพลงที่เขาได้ยินบ่อยๆนั่นอีก ตอนนี้อเลนสามารถปะติดปะต่อได้แล้วว่าสิ่งที่ทาเลนโต้ของเขาคิดถึงคืออะไรกันแน่…
นี่เขาเองเหรอที่เป็นตัวแทรกกลาง…
มันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้นะ…
“แต่ยังไงพี่ก็คือคนที่ทำให้ทาลต้องเจ็บปวดและจมอยู่กับความทรมาน คนอย่างพี่มันไม่คู่ควรกับทาล ผมจะทำให้พี่ต้องรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าความรู้สึกของทาลและผมรวมกันอีกร้อยเท่าพันเท่า ไอ้คุณสุทธินันท์...”
…
บนห้องของทั้งสองคน กวินทร์ทอดกายนอนอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาตัวใหญ่ เพื่อหวังว่ามันจะดับความฟุ้งซ่านในใจเขาลงได้บ้าง แต่ไม่เลย…
ทำนองเพลงที่ร่างสูงเล่นนั้นไม่ได้หายออกไปจากสมองของเขาเลย…
“พี่ปล่อยเราเกินไปเหรอถึงต้องไปยุ่งกับคนอื่น” เสียงที่ดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยปลุกให้กวินทร์ตื่นจากภวังค์ เขาหันไปมองเพื่อนร่วมห้องที่เดินเข้ามาหา ท่าทางดูเอาเรื่องสุดๆ
“ผมไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย”
“เหรอ แล้วที่พี่เห็นจะไปจูบกับไอ้ฝรั่งนั่นน่ะอะไร” ว่าพลางเข้าไปจับข้อมือของอีกฝ่ายเมื่อเห็นคนเป็นน้องตั้งท่าจะหนี แต่ก็ได้รับสายตาไม่พอใจส่งกลับมา
“อะไรของพี่เนี่ยพี่เอ็ม! ปล่อยผมนะ!!” ตวาดใส่ไปทีหนึ่งก่อนจะพยายามสะบัดให้หลุดจากพันธนาการของอีกคน แต่ก็ไม่เป็นผลซ้ำยังถูกอีกฝ่ายผลักลงไปนอนกับโซฟาพร้อมโดนนั่งคร่อมเสียด้วย…
นี่กล้ามมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยใช่ไหมเนี่ย!?
กวินทร์คิดในใจ...
“ตอบพี่ก่อนว่าไปทำอะไรกับมันมา!!”
“พี่ไม่มีสิทธิ์เรียกเพื่อนตองว่ามันนะ!!”
“อ๋อ… เดี๋ยวนี้กล้าขึ้นเสียงกับพี่เหรอ พี่คงใจดีกับเรามากไปจริงๆ!!” ว่าจบก็บีบคางจนกวินทร์รู้สึกเจ็บไปหมด
“พี่เอ็มปล่อย ตองเจ็บ”
“จะได้รู้ไงว่าพี่ไม่ได้ใจดีเป็นอย่างเดียว!!”
“อื้อ!!” ไม่ทันจะได้อ้าปากโต้เถียงต่อก็ถูกอีกฝ่ายทาบทับริมฝีปากลงมา กำปั้นของคนถูกกระทำทุบอั้กๆไปที่อกเป็นการต่อต้านแต่ก็ถูกมือหนารวบไว้จนไม่สามารถต่อต้านอะไรได้อีก ลิ้นร้อนค่อยๆสอดแทรกเข้าไปหาความหวานในโพรงปาก โดยที่ปากบางก็ไม่มีทีท่าว่าจะไม่ยินยอมแม้แต่น้อย แต่จู่ๆสัมผัสอุ่นๆที่ไหลผ่านไปและความชื้นที่ดวงตาของคนตรงหน้าก็ทำให้สุทธินันท์หยุดการกระทำอุกอาจลงเสียเอง…
“ตอง...” สติของร่างสูงกลับมาเมื่อเห็นคนเป็นน้องกำลังหลับตาและมีน้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตาที่ปิดคู่นั้น ข้อมือที่เขากำไว้เริ่มสั่นเทาเหมือนกับคนไม่สบาย สุทธินันท์จึงรู้ทันทีว่าคนตรงหน้ากำลังร้องไห้…
กวินทร์กำลังร้องไห้…
“กลัวเหรอ?”
“ฮึก…” เมื่อไร้เสียงตอบรับ สุทธินันท์จึงค่อยๆประคองคนตรงหน้าให้ยืนขึ้น ใช้มือข้างหนึ่งปัดน้ำตาออกจากดวงตาทั้งสองข้างพร้อมลูบหัวคนที่กำลังตัวสั่นด้วยความกลัว กวินทร์เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาที่ฉ่ำวาวไปด้วยน้ำใสๆซึ่งเหมือนจะไหลออกมาอีกครั้ง คนเป็นพี่มองภาพตรงหน้าด้วยแววตาสำนึกผิด
“พี่ขอโทษนะ...” กวินทร์ไม่พูดอะไรแต่กัดปากมองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธปนความผิดหวัง ก่อนจะค่อยๆผลักอกอีกคนออกไปและรีบเดินหนีไปยังห้องนอนพร้อมปิดประตูเสียงดัง สุทธินันท์มองประตูห้องนอนของตัวเองที่ปิดสนิท ไอ้ครั้นจะเปิดเข้าไปก็ใจไม่กล้าพอ จึงค่อยๆยกมือขึ้นและเคาะเบาๆไปที่ประตูแทน
ก๊อกๆ
“ตองครับ” ชายหนุ่มลองเคาะประตูเบาๆและเรียกด้วยเสียงนุ่มนวล แต่ก็ไม่มีการตอบรับจากภายใน…
ก๊อกๆ
“ตอง ให้พี่เข้าไปหน่อยนะครับ” เหมือนรอบที่สองจะได้ผล ประตูห้องเปิดออกและตามด้วยคิงคองใบหน้าซังกะตายที่มาพร้อมกับผ้าห่มผืนหนาและหมอนใบใหญ่ในมือ
“หายโกรธพี่แล้...” ยังไม่ทันพูดจบดี คนตรงหน้าก็ปาของในมือมาใส่หน้าเขาอย่างแรง จนสุทธินันท์สามารถเดาชะตากรรมตัวเองได้ทันที...
ตุ้บ!!
“ต่อไปนี้พี่ต้องนอนตรงนี้จนกว่าผมจะหายโกรธ!!”
ปั้ง!!
ว่าแล้วเชียว...
สุทธินันท์คิดในใจก่อนจะเก็บหมอนและผ้าห่มที่ร่วงอยู่บนพื้นและนำไปวางไว้บนโซฟาพลางนั่งลงอย่างหงุดหงิด เขาเขกหัวตัวเองเมื่อนึกถึงเรื่องบ้าๆที่ได้ทำไปเมื่อครู่ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้อีกฝ่ายเปิดใจแล้ก็เหมือนจะทำให้มองหน้ากันไม่ติดกว่าเดิมด้วย
“แกไปทำแบบนั้นกับน้องได้ไงวะ ไอ้เอ็ม ไอ้บ้าเอ๊ย!!” ก่นด่าตัวเองพลางทิ้งตัวพิงพนักโซฟาอย่างอ่อนล้า ถ้าเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองได้มากกว่านี้มันคงไม่จบลงแบบนี้ เป็นเพราะหึงมากเกินไปแท้ๆ…
“ค่อยหาทางง้อละกัน...”
…
เมื่อเวลากลางคืนมาถึง คฤหาสน์ก็ถูกโอบล้อมด้วยความมืดและมีเพียงแสงไฟจากโคมไฟที่ประดับไว้ตามทางเท่านั้น ร่างบนเตียงขนาดคิงส์ไซต์พลิกไปพลิกมาเหมือนกับกำลังร้อนรน ในที่สุดเจ้าของห้องชั่วคราวก็ผุดขึ้นมาจากเตียงและมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งติดกับสวนหลังบ้าน…
“ลองออกไปซักหน่อยจะดีมั้ยนะ…?” กวินทร์พึมพำกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจก้าวลงจากเตียงด้วยความแผ่วเบา สวมรองเท้าแตะและเดินไปที่ประตูอย่างช้าๆ มือค่อยๆจับที่ลูกบิดประตูและบิดอย่างแผ่วเบาพยามไม่ให้เสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะออกแรงผลักและเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ แต่ก่อนที่จะเปิดประตูออกไปข้างนอก เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบหันกลับมามองร่างที่นอนหันหลังให้อยู่บนโซฟาด้วยสายตาที่ค้อนแบบเด็กๆ…
“พี่เอ็มบ้า” ว่าก่อนจะเปิดประตูออกไปข้างนอก โดยหารู้ไม่ว่าคนที่นอนอยู่นั้นยังไม่หลับและรู้ทุกการกระทำของตัวเอง…
“ลองตามไปซักหน่อยจะดีมั้ยนะ?” เอ่ยยิ้มๆพลางดันตัวลุกขึ้นยืนและเดินออกไปโดยที่ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว…
ที่สวนหลังบ้าน กวินทร์เดินทอดน่องไปเรื่อยเปื่อยโดยมีแสงจากโคมไฟเป็นเพื่อนในยามค่ำ เสียงจิ้งหรีดสลับกับเสียงบางเบาของคลื่นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อย พลันสายตาก็มองไปที่ศาลากลางสวนซึ่งมีเปียโนหลังใหญ่ตั้งอยู่ แล้วความทรงจำในวัยเด็กก็ผุดขึ้นมาเสียเฉยๆ…
…
‘ตอง ออกมาหาป้าหน่อยสิลูก ป้าทำขนมที่ตองชอบมาให้นะ’
‘คุณป้าลงไปเถอะครับ ตองอยากอยู่คนเดียว...’ เสียงตอบรับจากภายในทำให้คุณหญิงสาลินีย์หันมาส่ายหน้ากับบุตรชายวัย10ปี คุณชายน้อยสุทธินันท์ถอนหายใจก่อนจะยิ้มแบบฝืนๆให้กับมารดาที่ส่งยิ้มให้กำลังใจมาให้ นี่ก็เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้วที่หนุ่มน้อยกวินทร์เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปไหนหลังจากที่กลับจากงานศพของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ ตระกูลพุกหอมซึ่งคุณหญิงของบ้านเป็นเพื่อนสนิทกับมารดาของเด็กชายจึงรับกวินทร์มาไว้เป็นสมาชิกในครอบครัวอีกคน แต่เด็กน้อยกลับไม่เหมือนกวินทร์ที่พวกเขาเคยรู้จัก จากเด็กที่เคยร่าเริงสดใสก็กลายเป็นเด็กเศร้าซึมอย่างเห็นได้ชัดจนทุกคนในบ้านเริ่มเป็นห่วง รวมไปถึงคนมากปีกว่าอย่างคุณชายน้อยสุทธินันท์ซึ่งรู้จักและคุ้นเคยกับกวินทร์มาตั้งแต่เด็กจนโต หนุ่มน้อยหยิบจานขนมในมือของคนเป็นแม่มาถือไว้ในมือก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าไปเคาะประตูและพูดกับคนข้างในเสียเอง
‘งั้นพี่วางไว้ตรงประตูนะ’ เอ่ยจบก็วางจานไว้ตรงประตูอย่างเช่นทุกทีก่อนจะจับมือคนเป็นแม่และเดินลงไปยังชั้นล่าง ร่างเล็กในวัย8ปีเปิดประตูออกมาเมื่อมั่นใจว่าทุกคนลงไปหมดแล้ว เด็กน้อยค่อยๆก้มลงหยิบจานขนมที่ตอนนี้เขาไม่ปราถนาจะแตะต้องมันเท่าไหร่นัก แต่ถึงยังไงในเมื่อคุณป้าทำมาให้ก็ต้องลองทานเพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจท่าน เด็กชายปิดประตูและเดินมานั่งตรงโซฟาในห้องของตัวเองก่อนจะหยิบช้อนและตักขนมหวานคำแรกเข้าปาก รสชาติที่เหมือนกับขนมที่แม่ทำให้กินบ่อยๆทำให้น้ำตาของเขาพาลไหลตลอดเวลาที่ตักขนมหวานเข้าปาก ไม่ต่างอะไรกับการกินเข็มเข้าไปเป็นพันๆเล่ม…
เจ็บปวดและทรมาน…
เมื่อจัดการกับของหวานเสร็จเรียบร้อย เด็กน้อยก็ทิ้งตัวลงนอนร้องไห้บนโซฟาด้วยความคิดถึงคนที่จากโลกใบนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ พ่อของกวินทร์มักสอนเสมอว่าให้เขาเข้มแข็งเผื่อซักวันต้องอยู่ตัวคนเดียว แต่การอยู่ตัวคนเดียวครั้งนี้มันเร็วและทรมานมากเกินกว่าที่เด็กตัวเล็กๆอย่างเขาจะรับไหว เหมือนกำลังหลงทางอยู่ในป่าที่มืดมิดและมองไม่เห็นอะไร…
ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์และแสงจากดวงดาวคอยนำทาง…
‘ลัลลาลัลล้า ลัลลาล้าลาล้าลา~’
เสียงร้องเพลงที่ดังมาจากข้างนอกทำให้เด็กชายต้องเดินไปลากเก้าอี้มาไว้ตรงหน้าต่างและขึ้นไปยืนเพื่อมองออกไปยังสวนหลังบ้าน ที่ศาลากลางสวน ใครบางคนที่กวินทร์คุ้นเคยกำลังเล่นเปียโนอยู่ เพลงที่เขาเล่นนั้นเด็กชายไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่ก็อดไม่ได้ที่จะโยกศีรษะตามทำนองเพลงที่สนุกสนานนั้น อยากเข้าไปฟังใกล้ๆ…
ไวเท่าความคิด ร่างเล็กกระโดดลงจากเก้าอี้และเดินเร็วๆไปหยิบจานของหวานก่อนจะรีบวิ่งลงไปยังชั้นล่างท่ามกลางความงงงวยของเจ้าของบ้านและแม่บ้านที่เดินขวักไขว่ไปมา เด็กน้อยกวินทร์นำจานไปวางไว้ในห้องครัวและวิ่งผ่านห้องนั่งเล่นลงไปยังสวนหน้าบ้านและเดินอ้อมไปทางด้านหลังซึ่งเป็นสวนขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเท่าไหร่นัก ขาป้อมๆหยุดวิ่งเมื่อได้ยินเพลงนั้นชัดขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆเดินไปหาลูกชายเพื่อนแม่ที่ตอนนี้กำลังเล่นเปียโนพร้อมฮัมเพลง…
รู้สึกอยากมีส่วนร่วมด้วย…
‘พี่เอ็ม!!’ เสียงเรียกของเด็กชายทำให้คุณชายน้อยสะดุ้งสุดตัว เขาละสายตาและมือจากเปียโนหลังใหญ่มามองร่างเล็กที่พยายามปีนขึ้นมานั่งข้างๆ เด็กชายระบายยิ้มออกมา…
บทจะมาก็มาง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ?
‘เมื่อกี้พี่เอ็มร้องเพลงอะไรเหรอครับ’
‘เพลงนี้พี่แต่งเองน่ะ มันไม่มีเนื้อร้องหรอก มีแต่ทำนอง’
‘แต่ตองว่ามันเพราะดีนะฮะ พี่เอ็มสอนตองร้องหน่อยได้มั้ย?’
‘ได้สิ ร้องตามพี่นะ ลัลลาลัลล้า ลัลลาล้าลาล้าลา~’ เมื่อได้ยินเสียงนุ่มร้องเพลงให้ฟังใกล้ๆ แทนที่จะรู้สึกดี แต่เด็กน้อยกลับคิดถึงเพลงกล่อมเด็กที่พ่อและแม่เคยร้องให้ฟังตอนเด็กๆ พลันน้ำตาก็ไหลอาบแก้มใสอีกครั้ง เด็กชายที่อายุมากกว่าที่ได้ยินเสียงสะอื้นเล็กๆก็หยุดร้องเพลงและก้มลงมองน้องด้วยสายตาสงสารจับใจ
‘เข้มแข็งนะตอง ตอนนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว อย่าทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วงสิครับ’ ว่าจบก็ลูบหัวน้องชายเพื่อปลอบประโลม ร่างเล็กส่ายหน้ารัวและปฏิเสธด้วยเสียงสั่น
‘ต...ตองทำไม่ได้ครับ ไม่มีแม่...ไม่มีพ่อแล้ว ฮึก… ตองกลัว ตองไม่อยากอยู่คนเดียว...’
‘ใครว่าตองอยู่คนเดียวละ มองขึ้นไปบนนั้นสิ เห็นมั้ย พ่อกับแม่กำลังมองตองอยู่บนนั้นนะ’ เด็กน้อยสุทธินันท์ใช้คำพูดเดียวกับที่พ่อและแม่เคยบอกกับเขาตอนที่คุณปู่ที่เขารักมากเสียชีวิตไป ท่านบอกว่าปู่คอยมองดูเขาอยู่บนฟ้า และถ้าหากเป็นความจริง ตอนนี้ท่านคงได้พบกับพ่อและแม่ของตองแล้ว…
‘แต่ตองอยากกอดคุณแม่ อยากขี่หลังคุณพ่อ อยากฟังคุณแม่ร้องเพลงกล่อมให้นอน ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่อยู่บนนั้น เขาจะลงมาหาตองเหมือนเคยมั้ยครับ?’ คำถามที่แสนไร้เดียงสาทำเอาคนเป็นพี่ไปต่อไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังพยายามที่จะปลอบไม่ให้คนเป็นน้องร้องไห้อยู่ดี
‘ไม่รู้สิ คุณพ่อของพี่บอกว่าใครที่ขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้วจะกลับลงมาไม่ได้...’ เพียงแค่นั้นร่างเล็กก็น้ำตาไหลไม่ขาดสาย สุทธินันท์ค่อยๆดึงเด็กชายตัวเล็กเข้ามากอดพร้อมให้คำสัญญา
‘โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคนเก่ง พี่จะกอดตอง จะให้ตองขี่หลัง แล้วก็จะร้องเพลงกล่อมตองทุกคืนเอง ตองไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ’
‘จริงๆนะครับ พี่เอ็มจะอยู่เป็นเพื่อนตอง ไม่ทิ้งตองไปเหมือนพ่อกับแม่ใช่มั้ยครับ?’
‘ครับ ไม่ทิ้ง พี่สัญญา’ ว่าจบก็ยื่นนิ้วก้อยออกไปโดยที่เด็กชายอีกคนก็เกี่ยวนิ้วก้อยของตัวเองกับเขาและมองด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความเชื่อมั่นในตัวพี่ชายคนนี้หมดหัวใจ ตอนนี้เด็กน้อยพบแสงสว่างที่จะนำทางให้เขาแล้ว…
ฉับพลันริมฝีปากบางเฉียบก็ถูกยกขึ้นไปประทับที่แก้มของคนเป็นพี่เหมือนกับจะตอบแทนคำสัญญาที่แสนวิเศษนั้น เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็มีเสียงชัตเตอร์ดังขึ้นจนทั้งสองคนต้องหันไปมอง คุณชายและคุณหญิงของตระกูลพุกหอมนั่นเองที่ตามออกมาดูและได้ถ่ายรูปเก็บภาพประทับใจไว้ได้ทัน
‘คุณลุงคุณป้า!!/คุณพ่อคุณแม่!!’ เสียงของเด็กทั้งสองทำให้คุณณัฐวัฒน์และคุณสาลินีย์คลี่ยิ้มออกมา คุณหญิงของบ้านค่อยๆเดินไปหาหนูน้อยกวินทร์และดึงเข้ามากอด
‘ต่อไปนี้ตองก็ไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้วนะ… นอกจากจะมีพี่เอ็มแล้วยังมีลุงกับป้าด้วย ทุกคนจะทำให้ตองมีความสุขที่สุดนะลูก...
‘ครับคุณป้า...’ เด็กชายค่อยๆกอดตอบหญิงผู้มีศักดิ์เป็นเพื่อนของแม่พร้อมด้วยรอยยิ้มสดใส พลันเมื่อรู้สึกได้ว่ามีใครสะกิดเด็กชายจึงค่อยๆหันหลังไป เด็กชายสุทธินันท์ค่อยๆยื่นกระดาษสีขาวสะอาดที่มีตัวโน๊ตกำกับอยู่ให้กับน้องชาย กวินทร์รับมาอย่างงงๆ
‘เพลงนี้พี่แต่งให้ตองนะ… มันคือเพลงที่เราจะร้องด้วยกันตลอดไป...’
‘ครับ!! ตองเชื่อว่าทุกคนบนโลกจะต้องมีความสุขถ้าได้ฟังเพลงนี้!!’
‘แน่นอนอยู่แล้วละ...’
…
ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงวันเก่าๆที่รอยยิ้มของผู้ชายที่ชื่อสุทธินันท์เปรียบเสมือนโลกทั้งใบของเขา พี่ชายที่เขารักและเทิดทูนหมดหัวใจ พี่ชายที่มอบแสงสว่างให้กับเขา…
พี่ชายที่ทำให้เขาต้องผิดหวังและเสียน้ำตา…
“มันจะไม่เป็นแบบนี้ ถ้าพี่ไม่ผิดสัญญา” เขาพูดพลางนำรูปในกรอบที่วางไว้บนเปียโนซึ่งเป็นรูปเดียวกันกับเหตุการณ์ในวันนั้นมากอดแนบอก กวินทร์เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาวดวงเล็กๆมากมายที่สวยงามจับใจ หากแต่จะสวยงามมากแค่ไหนก็ไม่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
“ลัลลาลัลล้า ลัลลาล้าลาล้าลา~” หนุ่มวัยใกล้เบญจเพสฮึมฮำเพลงที่เขามักร้องบ่อยๆจนติดมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะอารมณ์สุข เศร้า เหงาหรือเสียใจ เขาก็จะมีเพลงนี้คอยเป็นเพื่อนเสมอ แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันกลายมาเป็นเพลงที่เขามักจะร้องเวลารู้สึกแย่ๆเสียมากกว่า…
“ยังไม่นอนอีกเหรอตอง?” เสียงนุ่มๆที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ทำนองของชายหนุ่มขาดห้วงไปดื้อๆ กวินทร์หันกลับไปมองก็พบสตรีวัยกลางคนในชุดนอนเดินเข้ามาใกล้ ด้วยความรักความผูกพันธ์ทำให้คนเป็นหลานเดินไปหาเธอด้วยรอยยิ้ม
“ยังครับ พอดีว่าอากาศมันร้อนเลยนอนไม่ค่อยหลับ” ตอบพลางฉุดร่างบางให้นั่งลงข้างๆกันบนที่นั่งมุมหนึ่งของศาลา และก็ต้องทำหน้างงๆเมื่อถูกคนเป็นป้าจ้องหน้าด้วยแววตาเป็นห่วง
“ครับ?”
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าลูก” คำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใยทำให้ใบหน้าเปื้อนยิ้มในทีแรกของกวินทร์หม่นหมองลงไปนิดหนึ่ง แต่มันมากพอที่จะทำให้คุณสาลินีย์รู้ได้ว่าหลานชายของเธอรู้สึกอย่างไรในตอนนี้
“เลี้ยงกันมาตั้งแต่เด็ก ป้ารู้หรอกว่าเวลาตองไม่สบายใจจะชอบบีบมือใครสักคนแบบนี้เสมอ” ได้ยินดังนั้นเลยก้มลงมองมือตัวเองที่บีบมือของผู้มีพระคุณอยู่ไม่ยอมคลาย ราวกับกำลังโหยหาที่พึ่ง…
“ก็คงจะเป็นเพราะคิดถึงคุณพ่อคุณแม่มากไปละมั้งครับ” ศีรษะทุยซบลงกับลาดไหล่ภายใต้ชุดนอนของป้า ดวงตาสดใสก้มลงมองเด็กน้อยของเธอด้วยแววตาเอ็นดูปนสงสาร ก่อนที่มีเรียวข้างหนึ่งจะยกขึ้นลูบหัวหลานชายเหมือนตอนที่กวินทร์ยังเด็กๆ
“เราเองก็ไม่ใช่คนไกลที่ไหน ตองมีอะไรก็ปรึกษาป้า ลุงไม่ก็พี่เอ็มเขาได้ตลอดนะลูก...” ชื่อคนใจร้ายที่ออกมาจากปากของป้าทำให้กวินทร์ต้องหุบยิ้มลงบนใบหน้าแทบจะทันที และยิ่งรู้สึกแย่ไปกว่าเดิมเมื่อเจ้าของชื่อกลับเดินมาหาเขาด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ทำผิดแล้วก็ไม่เคยรู้จักสำนึกหรอก
“ตองไปนอนก่อนนะครับป้า รู้สึกง่วงแล้ว” จุมพิตแก้มของเธอเบาๆก่อนจะเดินสวนสุทธินันท์ไป คนมาใหม่เร่งฝีเท้าเข้ามาหามารดา ดวงตาคู่สวยที่สุทธินันท์ถอดแบบมาทั้งหมดช้อนขึ้นมองพ่อตัวดีด้วยความตำหนินิดๆ
“แม่ไม่รู้หรอกนะว่าเอ็มไปแกล้งอะไรน้องไว้หรือเปล่า แต่ให้รีบไปขอโทษซะ ก่อนเรื่องมันจะบานปลายกว่านี้”
“พอหลานรักมา ลูกชายก็หมดความหมาย...” แกล้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจจนได้รับสายตาคาดโทษจากคนเป็นแม่
"เอ๊ะ!? ลูกคนนี้พูดอะไรเลอะเทอะ พอเลยไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง ไปขอโทษน้องเลยเร็วๆ"
"โธ่คุณแม่ ผมไม่ได้แกล้งตองนะครับ..."
"ตาเอ็ม"
"คร้าบบบ ไปก็ได้ แต่ผมว่าคุณแม่รีบเข้าบ้านก่อนเถอะครับ เหมือนฝนจะตั้งเค้ามาแล้วละ” ท่าทางเอาจริงของคนเป็นแม่ทำให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอมยิ้มทะเล้นก่อนจะเดินตามคนที่เดินจากไป…
กวินทร์เดินหนีคนใจร้ายมาเข้ามาในห้องนอนและทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม กลิ่นสะอาดที่คุ้นเคยเริ่มทำให้จิตใจของเขาฟุ้งซ่านอีกครั้ง
ไม่ชอบแบบนี้เลยจริงๆ
ครืน…
เสียงคำรามจากฟากฟ้าทำให้เขาสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบล้มตัวลงนอนคลุมโปงอย่างหวาดผวา ดวงตารีเรียวหลับปี๋ จนเมื่อเสียงนั้นหายไปตองจึงค่อยๆโผล่ออกมาจากผ้าห่ม
“เฮ้ออ” ถอนหายใจอย่างโล่งอกและยกตัวขึ้นนั่งบนเตียง เสียงฝีเท้าที่ดังจากชั้นล่างทำให้เขาพอรู้ได้ว่าใครกำลังอยู่ข้างล่างในตอนนี้
แต่เมื่อจะล้มตัวลงนอน…
เปรี้ยง!!
ซ่าาา
เสียงฟ้าผ่าตามมาด้วยเสียงฝนตกทำให้สุทธินันท์สะดุ้งสุดตัว พลันใบหน้าของใครคนหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว ร่างหนารีบวิ่งขึ้นไปบนชั้น2ของคฤหาสน์ทันทีที่นึกอะไรบางอย่างออก เมื่อมาถึงห้องของตัวเองเขาจึงรีบเข้าไปและวิ่งเร็วๆไปยังส่วนที่เป็นห้องนอนทันที
“ตอง!!” ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ภาพที่เห็นไม่ต่างจากที่เขาคิดมากนัก กวินทร์กำลังนั่งชันเข่าเอามืออุดหูตัวเองทั้งสองข้าง
โรคนั้นยังรักษาไม่หายจริงๆด้วย…
“ฮึก…”
“ไม่เป็นไรนะ…” สุทธินันท์ค่อยๆเดินเข้าไปหาคนบนเตียง ดวงตาคูคมแสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน
“พี่เอ็ม…” ใบหน้าที่ซบอยู่กับเข่าเงยขึ้นมองคนที่นั่งลงข้างๆ มือหนาค่อยๆยกขึ้นลูบกลุ่มผมที่ยุ่งนิดๆอย่างอ่อนโยน
หมับ!
ร่างสูงค่อยๆโอบร่างหนามากอดไว้ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่หนาที่คุ้นเคย ดวงตาสวยของสุทธินันท์มองคนที่กอดเขาอยู่อย่างงงๆ
“ฮือออ คืนนี้… คืนนี้พี่เอ็มนอนกับตองนะ ตองไม่อยากนอนคนเดียว กลัว… ตองกล...”
เปรี้ยง!
“เฮือก!!”
“ไม่เป็นไรๆ” พูดปลอบคนในอ้อมกอดที่สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงฟ้าผ่า เสียงลมกรรโชกที่ปะทะกับต้นไม้ใหญ่ข้างนอกและเสียงฝนเพิ่มความกลัวของกวินทร์ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“พี่อยู่นี่ครับ พี่อยู่นี่...” มือหนาค่อยๆกอดตอบและลูบกลุ่มผมนั้นอย่างปลอบโยน ร่างกายที่สั่นระริกนั้นยิ่งทำให้เขาไม่อยากปล่อยคนในอ้อมกอดไปไหน ริมฝีปากหนาจุมพิตเบาๆที่กลุ่มผมนุ่ม
“พี่อยู่กับตองนะ เด็กดี...”
“ตองขอโทษ พี่เอ็ม ตองขอโทษ ตองพูดจาไม่ดีกับพี่ ตองขอโทษ ตองขอโทษ อย่า...อย่าทิ้งตองนะ ตองไม่อยากอยู่คนเดียว…”
“พี่จะไม่ให้ตองอยู่คนเดียวหรอก...” ว่าก่อนจะจับหน้าอีกคนขึ้นมาเช็ดน้ำตา ดวงตาเรียวรีที่รื้นคลอไปด้วยน้ำใสๆคู่นั้นมองเขาอย่างอ้อนวอน
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะไม่ทิ้งให้ตองอยู่คนเดียวหรอก” คำสัญญาพร้อมรอยยิ้มที่จริงใจนั้นทำให้คนที่มองอยู่ใจสั่นไม่น้อย อีกแล้ว เขาเริ่มรู้สึกใจอ่อนอีกแล้ว…
ถึงจะยังรู้สึกน้อยใจในสิ่งที่อีกฝ่ายเคยทำในอดีตมาก่อน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตอนนี้สุทธินันท์คือที่พึ่งทางใจที่ดีที่สุด
“งั้นแค่คืนนี้คืนเดียว แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะออกไปนอนข้างนอกเหมือนเดิมนะ” พูดเหมือนจะรู้ว่าคนเป็นน้องคิดอย่างไร สุทธินันท์จึงค่อยๆล้มตัวลงนอนโดยไม่ลืมดึงอีกคนให้ลงมานอนบนหมอนใบเดียวกันเหมือนตอนเด็กๆ
ฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย แต่กวินทร์แทบไม่รู้สึกกลัวอีกแล้ว
“นอนเถอะนะ ดึกแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย” มือหนาค่อยๆยกขึ้นลูบหัวคนที่นอนหันหน้ามาหากัน คนที่ถูกลูบหัวแม้จะรู้สึกดี แต่การกระทำนั้นเหมือนกับกำลังทำร้ายหัวใจของเขานิดๆ
เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะจำไม่ได้ว่าเมื่อก่อนจะต้องร้องเพลงที่แต่งให้เขาฟังเวลากล่อมนอน…
คิดได้ดังนั้นก็หลับตาลงและซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดไว้ในใจเพียงคนเดียว
To Be Continued...