วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

SF(แก้บน) M*Tong เพราะเธอคือของขวัญ...

SF(แก้บน) M*Tong 
เพราะเธอคือของขวัญ...
*เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง ไม่มีจุดมุ่งหมายจะทำให้บุคคล สถานที่หรือสิ่งใดก็ตามได้รับความเสียหาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*


ตอนที่1 ไม่เหมือนเดิม...


กระจกที่แตกไปแล้ว ซ่อมให้กลับมาเหมือนเดิมได้ยากฉันใด…
หัวใจที่แตกสลายไปแล้ว ก็ย่อมที่จะซ่อมให้กลับมาเหมือนเดิมได้ยากฉันนั้น...
-มหาวิทยาลัยการ์โลสที่3แห่งมาดริด(UC3M) เขตเคตาเฟ แคว้นมาดริด ประเทศสเปน-
“ดีใจด้วยนะทาเลนโต้ ในที่สุดนายก็จะได้กลับบ้านซักที” ชายหนุ่มชาวสเปนวัย25ปีหันมาพูดกับหนุ่มชาวไทยด้วยภาษาท้องถิ่นในขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งอยู่ข้างสนามฟุตบอลใกล้กับมหาวิทยาลัย ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่ทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกันเนื่องจากต่างคนต่างจะต้องเรียนจบและไปทำงานตามที่ตนถนัด เจ้าของชื่อทาเลนโต้หันมายิ้มให้กับเพื่อนชายร่างสูงก่อนจะตอบกลับไปว่า
“นายเองก็เหมือนกันแหละอเลน เรียนจบแล้วอย่าลืมหาเวลาว่างไปเที่ยวไทยบ้างนะ”
“แน่นอน ถ้าตอนนั้นฉันไม่กลายเป็นนักข่าวชื่อดังของสเปนไปก่อนอ่ะนะ” ว่าจบก็ถูกคนฟังเอื้อมมือไปตบที่กลางกลุ่มผมสีน้ำตาลทองเบาๆ หนุ่มฝรั่งหันมามองเพื่อนด้วยดวงตางงๆ
“อะไรของนายเนี่ยทาล มาตบหัวฉันทำไม”
“หมั่นไส้ ไอ้บ้าเอ๊ย” ตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกันก่อนจะชกกำปั้นไปที่ไหล่หนาทีหนึ่ง อเลนหัวเราะเบาๆก่อนจะโอบคอคนตัวเล็กกว่าอย่างสนิทสนม
“ก็มันอาจจะเป็นจริงก็ได้นี่ ว่าแต่นายเถอะ เรียนจบไปจะไปทำอะไร”
“ฉันก็คงจะไปดูแลธุรกิจบางส่วนที่ไทยของคุณลุงนั่นแหละ...” ตอบไปตามความคิดของเด็กที่กำลังจะจบจากคณะบริหารและจัดการธุรกิจ ก่อนจะเว้นวรรคไว้ช่วงนึงและพูดต่อว่า
    “อาจจะเป็นนักฟุตบอลด้วย”
“เฮ้ยจริงดิ ไม่ยักกะรู้แฮะว่านายเล่นฟุตบอลเป็นด้วย” อเลนพูดด้วยดวงตาสีเขียวที่เบิกกว้างอย่างตกใจ อะไรกัน เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน เพิ่งรู้วันนี้แหละว่าทาเลนโต้เล่นฟุตบอลเป็น
     “นี่ ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น ฉันเล่นฟุตบอลเป็นแล้วทำไม?” ว่าพลางเลิกคิ้วสูงถามคนตรงหน้า อเลนใช้สายตาไล่มองเพื่อนสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะพูดสรุปซึ่งทำให้อีกฝ่ายถึงกับเบ้ปาก
     “ก็... นายตัวเล็กนี่นา”
“ถ้าไปเทียบกะผู้ชายไทยฉันสูงกว่าตั้งเยอะ นายน่ะมันเปรต สูง190เลยไม่ใช่รึไง” แม้จะไม่เข้าใจฉายาเปรตที่ทาเลนโต้เรียกเขามาตั้งแต่เด็กๆว่ามันแปลว่าอะไร แต่อเลนรู้ว่ามันคงหมายถึงอะไรสักอย่างที่สูงมากแน่ๆ เมื่อ13ปีก่อน ทาเลนโต้ย้ายมาอยู่ที่บ้านของคุณโรมิโอและคุณนายลีน่าซึ่งอยู่ข้างบ้านของเขา เด็กผู้ชายตัวเล็กๆผอมๆตอนนั้นที่เขาเจอ มาตอนนี้มีกล้ามเนื้อที่เรียกได้ว่าสมส่วนและสูงเกือบจะทันเขาแล้ว แต่อย่างไรภายใต้เสื้อผ้าที่มิดชิดสำหรับฤดูหนาวนั้นก็ยังคงเป็นเอวบางเหมือนก่อนอยู่ดี...
     “อะไร? มองหน้าฉันแบบนั้นหมายความว่ายังไง”
“ทาล ฉันอยากรู้ ชื่อจริงของนายคืออะไรกันแน่” เพราะตั้งแต่เด็กแล้วที่อเลนมักจะได้ยินผู้ใหญ่ทั้งสองท่านเรียกคนคนนี้ว่าทาเลนโต้ซึ่งแปลว่าของขวัญในภาษาสเปน ทั้งๆที่พวกเขาก็เคยบอกว่าเจ้าตัวเองก็ไม่ได้มีเชื้อสายสเปนแม้แต่นิด คนที่ถูกถามอมยิ้มนิดๆก่อนจะตอบออกไปโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจความหมายของชื่อตัวเองหรือไม่...
     “ฉันชื่อตอง ตอง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์”
“ชื่อนายเรียกยากชะมัด”
“งั้นนายเรียกฉันว่าตองไม่ก็ทาเลนโต้เหมือนเดิมก็ได้” ว่าจบก็แหงนขึ้นมองบนฟ้าก่อนจะฮัมเพลงเพลงหนึ่งที่อเลนได้ยินบ่อยครั้งนับตั้งแต่ได้รู้จักกันมา มันเป็นเพลงที่มีทำนองสบายๆเหมือนเพลงกล่อมเด็ก แต่ตอนที่อเลนยังเด็กๆเขารู้สึกว่าเพลงนี้มันแปลกหูเอามากๆเพราะเขาไม่เคยรู้จักเพลงนี้เลย...
     “ลัลลาลัลล้า ลัลลาล้าลาล้าลา~” ทุกๆครั้งที่เพลงนี้ออกมาจากปากของทาเลนโต้หรือตอง ดวงตาของเจ้าตัวก็เปี่ยมไปด้วยความเศร้าเสมอๆ ทั้งๆที่ตอนเด็กเจ้าตัวบอกเองแท้ๆว่ามันเป็นเพลงที่ถ้าคนทั้งโลกได้ฟังจะมีความสุข อเลนเองก็มีความสุข แต่เหมือนเพื่อนสนิทของเขาจะไม่มีความสุขเลย...
     “เพลงนี้อีกแล้วเหรอ...”
“อืม ฉันคงจะคิดถึงบ้านอีกแล้วน่ะ” กวินทร์พูดจบก็พรูลมหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ อเลนลูบผมเพื่อนตัวเล็กเบาๆสองสามทีเหมือนต้องการจะปลอบใจ
     “ไม่เอาน่าทาล นายร้องเพลงนี้ทีไรนายก็ทำหน้าแบบนี้ทุกที”
“ฉันรู้ แต่ฉันคิดถึงมากๆเลยนี่นา คิดถึงบ้านริมทะเลที่ไทย คิดถึงคุณลุงคุณป้า แล้วก็คิดถึง...” ยังไม่ทันว่าจบประโยคดีน้ำตาเม็ดโตก็ไหลอาบแก้มจนเจ้าตัวต้องยกแขนเสื้อนักศึกษาขึ้นเช็ดมันออกแบบลวกๆ แต่สุดท้ายน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้นไม่ขาดสาย เสียงที่เคยสดใสกลายเป็นเสียงสะอื้น อเลนมองหน้าเพื่อนสนิทด้วยแววตาสงสารจับใจ เขาจำไม่ได้ว่าทาลพูดประโยคนี้มากี่ครั้ง แต่รู้แค่ว่าพูดไม่เคยจบประโยคก็ต้องร้องไห้ทุกที....
     “อย่าร้องไห้เลย นายน่ะเป็นคนที่ยิ้มสวยที่สุดในโลกเลยนะรู้ไหม...” อเลนบอกกับคนตรงหน้าพลางดึงตัวอีกคนเข้ามากอด กวินทร์ยึดตัวเขาไว้แน่นเหมือนไม่ต้องการให้หนีไปไหน ตอนนี้ที่นี่ไม่มีใครทั้งนั้น มีเพียงแค่พวกเขาสองคน...
     อเลนอยากหยุดเวลานี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้...
     เวลาที่ได้เป็นที่พึ่งของคนที่เขารักหมดหัวใจ...
     “อเลน”
     “ครับ?” หนุ่มฝรั่งตาสีเขียวตื่นจากภวังค์เมื่อจู่ๆคนในอ้อมกอดก็ผละออกไปและเรียกชื่อเขาด้วยแววตายากที่จะหาความหมาย แต่สุดท้ายคำพูดพร้อมรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็ทำให้เขายิ้มตาม
“สัญญานะ ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป” กวินทร์ยกนิ้วก้อยขึ้นมาโดยที่อเลนได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจกับการกระทำนั้น ตั้งแต่เด็กแล้วที่คนคนนี้มักจะมีท่าทีแบบนี้กับเขาเสมอเวลาจะสัญญาอะไรกันสักอย่าง และสิ่งที่เขามักจะทำตอบกลับกริยานี้ก็คงไม่พ้น...
“อืม” การขานรับในลำคอเบาๆพลางยกนิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของอีกฝ่าย กวินทร์และอเลนยกมือขึ้นลงก่อนจะหัวเราะพร้อมกันอย่างร่าเริงสดใส แต่ในใจอเลนไม่ได้นึกสดใสเลยสักนิด...
     ต้องจากกันแล้วจริงๆเหรอ...
     เขาต้องมอบรอยยิ้มแบบนี้ให้คนอื่นจริงๆเหรอ...
     จะไม่ได้เก็บมันไว้อีกแล้วจริงๆเหรอ...
     “ทาล”
“หืม?”
“เรียนจบแล้วฉันขอไปเที่ยวบ้านนายได้ป่ะ”






      -คฤหาสน์ตระกูลพุกหอม ชลบุรี ประเทศไทย-


....


‘คนใจร้าย!! คนโกหก!!’


          ....


    กริ๊งๆๆๆๆ
     เฮือก!!
     ท่ามกลางแสงสว่างที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามายังห้องนอนอันใหญ่โตของเขา ร่างของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของห้องผุดลุกขึ้นพร้อมกับเสียงหายใจรุนแรงคล้ายกำลังหวาดกลัวจากฝันร้าย ชายหนุ่มมองไปรอบๆก็พบกับนาฬิกาปลุกเรือนเล็กบนโต๊ะข้างเตียงกำลังแผดเสียงชวนรำคาญจนเขาต้องรีบเอื้อมมือไปกดปิดมัน
“อะไรกัน จะเจ็ดโมงแล้วเหรอเนี่ย” คนตัวโตเอ่ยกับตัวเองพร้อมขมวดคิ้วอย่างแปลกใจระคนตกใจเพราะวันนี้เขามีนัดสำคัญที่หากพลาดไปก็ดูจะเป็นอะไรที่น่าเสียดายพอสมควร ชายหนุ่มบิดขี้เกียจและก้าวขาลงจากเตียงเดินรีบๆไปยังห้องน้ำห้อง หลังจากปิดประตู เขาก็ค่อยๆเดินไปที่กระจกซึ่งตั้งตรงอยู่กับประตูห้องน้ำพอดีและลงมือถอดกระดุมไล่จากเม็ดบนลงไปเม็ดล่าง ภาพสะท้อนในกระจกเผยให้เห็นกล้ามท้องที่ขึ้นเป็นลอนไม่มากแต่ก็ดูแข็งแกร่งสมกับเป็นชายหนุ่ม ก่อนจะตามด้วยการถอดเสื้อและกางเกงนอนขนาดพอดีกับกายช่วงล่าง ทุกการกระทำแม้จะเร่งรีบแต่ก็ดูนุ่มนวลราวไม่จงใจให้เกิดความเสียหายอะไรทั้งสิ้นกับเสื้อผ้า คนตัวโตพาร่างเปลือยเปล่าไปยังอ่างอาบน้ำสีขาวขนาดไม่ใหญ่มากและใช้มือหนาหมุนเปิดฝักบัว สายน้ำที่ไหลกระทบกายสีน้ำผึ้งละเอียดดูงดงามราวกับภาพจิตรกรรม ผมที่ปกติจะเซตเป็นทรงเมื่อถูกน้ำจึงเลียบลู่ไปตามศีรษะดูแปลกไปแต่ไม่ขัดตา หนวดและเคราที่ขึ้นตามฮอร์โมนของชายหนุ่มทำให้ใบหน้าที่คมตามแบบชายไทยดูน่าเกรงขาม...
    หากแต่ในดวงตาคู่คมนั้นกลับดูอ่อนโยน...
“ฝันแบบเดิมอีกแล้วแฮะ...” ร่างสูงบ่นพึมพำกับตัวเองในขณะที่ปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวไหลกระทบกายเปลือยเปล่า มือหนาเสยผมที่เปียกปอนขึ้นเหมือนไม่รู้ว่าจะจับมันไปวางไว้ตรงไหนดี.... ดวงตาคู่คมมองขึ้นไปบนเพดานห้องน้ำอย่างเลื่อนลอย ยิ่งคิดถึงความฝันเมื่อคืนที่ตามหลอกหลอนมานานหลายปีก็ยิ่งทำให้ความเจ็บปวดกัดกินหัวใจ...
     ไม่ใช่ว่าฝันถึงเรื่องเดิมๆซ้ำกันไปมาเท่านั้น...
     หากมันยังคงชัดเจนขึ้นทุกครั้ง...
     ใบหน้าของคนๆเดิมนั่นก็เช่นกัน...
     สุทธินันท์ก้าวออกจากห้องน้ำก่อนจะถอนหายใจดังเช่นทุกๆครั้ง ท่อนล่างของเขาถูกพันด้วยผ้าเช็ดตัวผืนไม่ใหญ่มากและตามตัวมีหยดน้ำเม็ดใหญ่บ้างเล็กบ้างเกาะอยู่ประปราย ทุกๆครั้งที่เขาก้าวแม้จะแผ่วเบาตามแบบคนที่ได้รับการสั่งสอนมาดดีแต่ในใจกลับหนักอึ้งเหมือนกำลังถูกทับด้วยหินขนาดใหญ่ คนตัวโตเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบชุดสุภาพมาสวม เสียงดังสวบสาบของเสื้อผ้าที่เสียดสีกับร่างกายบ่งบอกว่าเวลาที่เขาจะต้องออกจากห้องนี้ใกล้มาถึงเต็มทีแล้ว สุทธินันท์หันไปมองนอกหน้าต่างของห้องนอนขณะที่ติดกระดุมเสื้ออยู่ก็พบว่าคนเป็นพ่อได้เตรียมถอยรถออกมารอไว้คอยท่า หลังจากติดกระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จจึงไม่รอช้าที่จะเดินไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะเครื่องแป้งและโทรไปหาเพื่อนสนิทที่สุด...
“ฮัลโหลตั้ม ซ่อมเสร็จแล้วใช่ป่ะ โอเคขอบใจมาก เออๆ เดี๋ยววันนี้ให้เด็กยกมาไว้ที่บ้านเลย แล้วเจอกันเพื่อน” ว่าจบก็วางสายและเก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะข้างเตียงเพื่อหยิบกระเป๋าสตางค์และนาฬิกาข้อมือ พลันสายตาของเจ้าตัวก็เหลือบมองไปที่รูปรูปหนึ่งซึ่งทำให้เขาระบายยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกของวัน...
     มันเป็นรูปด้านหลังของเด็กผู้ชายตัวเล็กวัยประมาณ8ขวบกว่ากำลังหอมแก้มเด็กผู้ชายตัวสูงซึ่งน่าจะอยู่ในวัย10ขวบกว่าในขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เปียโนสีขาวสะอาด และถ้าหากสังเกตดีๆจะพบว่านิ้วก้อยของทั้งสองเกี่ยวกันเหมือนกับกำลังสัญญาอะไรบางอย่าง...
     สุทธินันท์หยิบรูปในกรอบนั้นขึ้นมาและลูบไปบนใบหน้าของเด็กชายตัวเล็กเหมือนกำลังจมอยู่ในห้วงอดีตที่มีแต่ความสุขของตัวเอง...
“เราจะได้เจอกันแล้วนะ พี่คิดถึงตองจัง คิดถึงที่สุดเลย...” พูดไปก็ไม่รู้ว่าคนที่กำลังคิดถึงนั้นจะฟังหรือไม่ แต่ตอนนี้ความทรงจำดีๆที่หลั่งไหลเข้ามาทำให้ร่างสูงระบายยิ้มไม่ยอมหยุด หากแต่ชั่วครู่รอยยิ้มนั้นก็แทนที่ด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย...
“ผ่านไปแล้ว13ปี พี่หวังว่าตองจะให้อภัยพี่นะ...”
    


-สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย 10.00น.-
“เอ็มเลิกเดินเถอะลูก เดี๋ยวน้องก็มาลูกจะห่วงอะไร” คนเป็นแม่ถามเมื่อเห็นลูกชายเดินวนไปมาได้พักหนึ่งแล้ว สุทธินันท์หันไปมองรอบตัวอย่างกระวนกระวายใจ นี่ผู้โดยสารทุกคนก็ลงจากเครื่องครบทุกคนแล้ว ทำไมคนคนนั้นยังไม่มาอีก...
   หรือจะตกเครื่องกันแน่นะ..
“เอาน่าแม่ ปล่อยลูกไปเถอะ น้องชายสุดที่รักจะกลับมาจากสเปนทั้งทีมันก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา”
“พ่อครับ...”
“เอ้าหนุ่มๆหยุดเสวนากันได้ พระเอกของเรามาแล้ว” หญิงสาวเพียงคนเดียวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยเดินลากกระเป๋าใบใหญ่มาแต่ไกล สุทธินันท์หันไปมองก็แอบยิ้มเบาๆเมื่อคนที่คุ้นเคยเดินใกล้เข้ามาทุกที ถึงจะไม่ได้เจอกันนานเกือบ10ปีและอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปมากด้านสรีระแต่เขาก็จำดวงตาคู่นั้นได้....
    จำแก้มใสนั่นได้....
    และจำปากบางนั่นได้....
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่อกวินทร์คนนั้น เขาจำได้...
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า” ร่างนั้นยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าด้วยท่าทีนอบน้อม คุณณัฐวัฒน์และคุณสาลินีย์ยิ้มกว้างให้กับผู้มาใหม่ก่อนจะเข้าไปโอบกอดด้วยความรัก
“เป็นไงบ้างลูก โถ... ไม่ได้เจอกันตั้ง13ปีป้าคิดถึ๊งคิดถึง...” คุณสาลินีย์กล่าวก่อนจะดึงแก้มใสๆนั่นบิดไปมาเหมือนครั้งยังเด็กๆ กวินทร์ยิ้มบางๆ
“ก็ดีครับ...”
“แล้วนี่สูงขึ้นเยอะเลยนะ ตอนนั้นลุงยังพาขี่คอให้อาหารยีราฟอยู่เลย” คุณณัฐวัฒน์กล่าวเมื่อนึกย้อนไปสมัยที่กวินทร์ยังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆและเขาพาไปเที่ยวสวนสัตว์ สิ่งที่เด็กชายชอบทำเสมอคือการให้อาหารยีราฟ แต่ด้วยส่วนสูงของเด็กทำให้เขาต้องอุ้มเด็กน้อยขี่คอเพื่อให้อาหารยีราฟ มาตอนนี้กวินทร์คงจะสามารถทำเรื่องนั้นได้ด้วยตัวเองแล้ว...
“ครับ แล้วผมก็ร้องไห้ทุกครั้งที่ยีราฟเลียหน้าผม” ว่าจบก็หัวเราะกันอยู่3คน แต่เหมือนคุณสาลินีย์จะนึกขึ้นได้จึงหันไปสะกิดหนุ่มน้อยให้หันไปมองอีกด้านของวงสนทนา
“ตองจำได้มั้ย นั่นพี่เอ็มไงลูก...” คุณสาลินีย์กล่าวกับหลานก่อนจะดันหลังให้กวินทร์เดินเข้าไปหาคนมากปีกว่าที่ยืนส่งยิ้มกว้างมาให้เขา กวินทร์ยิ้มบางๆตอบ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับแฝงไปด้วยแววผิดหวังอยู่ลึกๆ...
“สวัสดีครับพี่เอ็ม  โอ้โห พี่หล่อขึ้นเยอะจนผม‘จำแทบไม่ได้’เลยนะครับ...” คำว่า‘จำแทบไม่ได้’ที่คนตรงหน้าตั้งใจเน้นย้ำทำให้ความจุกเสียดค่อยๆแทนที่ความดีใจทั้งหลาย น้ำเสียงที่ดูสดใสแต่มีแววประชดประชันอยู่ในทีทำให้คนตัวสูงเริ่มชาไปทั้งกายเหมือนตกลงไปกลางทะเลลึก ดวงตาที่มองเขาด้วยความรักเมื่อตอนนั้นมันหายไปไหน...
    คนตัวเล็กของเขาหายไปไหน...?
“มาอยู่นี่เองทาล ทำไมนายเดินเร็วจังล่ะ ฉันตามแทบไม่ทันเลย” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นเรียกชื่อของร่างโปร่งทำให้ทุกคนต้องหันไปมอง หนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตามสไตล์ตะวันตกวิ่งเหยาะๆมาแต่ไกลและเดินเข้ามากอดคอกวินทร์ด้วยท่าทีสนิทสนม
“ขอโทษนะอเลน ฉันคงรีบมากไปหน่อย”
“อย่าคิดมากสิ นายเป็นแบบเรื่อยเลยนะ” ว่าด้วยน้ำเสียงร่าเริงพลางลูบหัวคนในวงแขน ทั้งสรรพนามที่ใช้เรียกคนตัวบางก็ทำให้สุทธินันท์ต้องแอบมองหน้าหนุ่มตาสีมรกตด้วยแววตาไม่พอใจ...
    ทำไมถึงสนิทกันขนาดนั้น...
“อ่า...พวกคุณคงเป็นครอบครัวของทาเล... เอ๊ย ตอง ขอโทษที่แนะนำตัวช้านะครับทุกคน ผมชื่ออเลนครับ เป็นเพื่อนของตอง”
“หือ?? ใช่เพื่อนเหรอ แต่ลุงว่าน่าจะมากกว่านั้นนะ” คุณณัฐวัฒน์ว่าด้วยภาษาสเปนที่ชัดแจ๋วพลางเข้าไปถองศอกใส่ท้องอเลนเบาๆพร้อมทำตากรุ้มกริ่มใส่ คนเป็นหลานหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะปฏิเสธไป
“ไม่ใช่แฟนหรอกครับ...”
“แน่ใจนะ” คุณสาลินีย์เอ่ยแทรกวงสนทนาของหนุ่มๆพลางมองใบหน้าของหลานชายและเพื่อนด้วยแววตาจับผิด กวินทร์และอเลนหันมาลอบกลืนน้ำลายให้กันอย่างเกรงกลัวในอำนาจของหญิงวัยกลางคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยตอบไปพร้อมกันว่า
“ครับ...” คำตอบของทั้งคู่ทำให้คุณหญิงสาลินีย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก
“ถ้าอย่างนั้นป้าก็จะได้สบายใจ กลับบ้านกันเถอะ วันนี้มีเรื่องให้คุยกันอีกเยอะเลยล่ะ ว่าแต่อเลนมีที่พักรึยังลูก”
“ยังครับ...”
“งั้นในฐานะที่หนูเป็นเพื่อนสนิทของตอง พักที่บ้านป้าก็ได้นะ ตองต้องดูแลเพื่อนดีๆเข้าใจมั้ยลูก”
“ครับคุณป้า...” ตองตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นทั้ง5คนก็เดินทางกลับคฤหาสน์กัน...
   
คฤหาสน์ของตระกูลพุกหอมเป็นคฤหาสน์สีขาวสะอาดหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมชายหาดส่วนตัวที่แยกออกมาจากบ้านหลังอื่นๆและด้านหลังจะโอบล้อมด้วยต้นไม้นานาชนิด ที่นี่จึงมีแต่ความเงียบสงบและไม่ค่อยมีใครมาที่นี่นักนอกจากจะได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ ตลอดทางที่เดินทางจากสนามบินมายังคฤหาสน์ซึ่งใช้เวลาร่วม3ชั่วโมง คนที่นั่งอยู่ข้างเขากลับไม่หันมาพูดอะไรด้วยแม้สักคำเดียว ดวงตาคู่สวยที่ปกติควรจะมองที่เขาแบบไม่วางตาตอนนี้กลับเบือนหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่างอีกฝั่งเหมือนไม่เห็นกันในสายตา...
    ราวกับเป็นคนแปลกหน้า...
    ราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน...
    “ไม่ได้กลับมาตั้งนานคฤหาสน์เปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับ” กวินทร์กล่าวทันทีหลังจากที่ขาของเขาสัมผัสกับพื้นคอนกรีตหน้าคฤหาสน์ สถานที่ที่เคยเต็มไปด้วยความทรงจำอันสวยงามของเขา…
     ตอนนี้เขากลับมาแล้ว…
     “คุณลุงคุณป้า นั่นรถใครจอดอยู่ครับ” อเลนเอ่ยถามหลังจากที่ก้าวลงจากรถเมื่อพบว่ามีรถขนของคันไม่ใหญ่มากนักมาจอดขวางหน้าประตูคฤหาสน์ พร้อมด้วยร่างสูงโปร่งในชุดลำลองสบายๆที่กำลังคุมคนงานอยู่ กวินทร์มองตามมือของเพื่อนสนิทไปก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว…
     คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็น…
     “อ้าวตั้ม!? มาได้ยังไงลูก” คุณสาลินีย์เอ่ยถาม ร่างโปร่งบางหันมามองเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้างและวิ่งมาทางพวกเขา กวินทร์ค่อยๆเดินไปหลบหลังอเลน…
     “ทาล?” อเลนเอ่ยชื่อเพื่อนสนิทที่มีท่าทีแย่ลงจากทีแรกไปอีก แต่ก็ได้รับสายตาที่เหมือนต้องการจะบอกว่าไม่อยากจะตอบคำถามอะไรทั้งสิ้นส่งมา เขาจึงทำได้แค่พยักหน้าเบาๆและหันไปมองทางวงสนทนาที่มีหนุ่มหน้าคล้ายอัลปาก้ามาร่วมวงด้วย…
     “อรุณสวัสดิ์ครับคุณลุงคุณป้า” ธนบูรณ์เอ่ยกับผู้เป็นพ่อแม่ของเพื่อนสนิทอย่างสนิทสนม
     “ผมเอาเปียโนที่สั่งซ่อมมาส่งฮะ อีกหน่อยคงต้องกลับ”
     “จะไปไหนล่ะ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนก็ได้” สุทธินันท์เอ่ยพลางเดินเข้ามาโอบคอเพื่อนรัก ธนบูรณ์ที่ทำท่าเหมือนเพิ่งเห็นคนตัวสูงก็ได้แต่เอ่ยทักทายก่อนจะบุ้ยใบ้ไปทางหนุ่มฝรั่งตาสีสวย
     “ว่าไงป๋า วันนี้พาเด็กฝรั่งที่ไหนมาด้วยอ่ะ แอบไปสอยมาจากไหนไม่เห็นบอกกันมั่งเลย”
     “หุบปากไปเลยไอ้ตั้ม”
    สุทธินันท์ว่าพลางยกหมัดขึ้นจะต่อยหน้าเพื่อนสนิทของตัวเอง ทั้งคู่ได้เจอกันครั้งแรกตอนอยู่ชั้นม.ต้นเพราะสอบได้ห้องเดียวกัน ด้วยความที่พวกเขาไม่ยึดติดเรื่องฐานะจึงเป็นเพื่อนกันด้วยความจริงใจและเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก พอจบม.ปลายทั้งคู่ก็ได้สอบเข้ามหา’ลัยเดียวกัน แม้จะมีช่วงหนึ่งที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเรียนต่อ แต่พอเข้าวัยทำงานก็สามารถไปมาหาสู่กันได้ตามปกติ แต่ไหนแต่ไรแล้วที่สุทธินันท์เองก็ไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนคนนี้ถึงชอบเรียกเขาว่าป๋านัก แถมยังชอบหาเรื่องให้ต้องมีสงครามประสาทกันได้ตลอดไม่เว้นวันหยุดราชการ แต่ยังไงด้วยความที่สนิทกันจึงทำให้ทั้งคู่ไม่เคยโกรธกันจริงจังสักที…
     “นั่นอเลน เป็นเพื่อนของตองเขา” คำอธิบายของคุณณัฐวัฒน์ทำให้ธนบูรณ์ตาโตด้วยความดีใจปนตกใจนิดๆ
     “ตอง!? นี่น้องกลับมาจากสเปนแล้วเหรอครับ”
     “ใช่จ้ะ ตองออกมาหาพี่เขาหน่อยสิ” คำพูดของคนเป็นป้ากลับทำให้กวินทร์เบียดชิดกับแผ่นหลังของคนด้านหน้ามากขึ้น คุณสาลินีย์ถอนหายใจก่อนจะเป็นคุณณัฐวัฒน์ที่เรียกด้วยน้ำเสียงเข้ม
     “ตอง...” เสียงนั้นทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะค่อยๆก้าวออกมาจากด้านหลังของเพื่อนสนิทช้าๆ กวินทร์ส่งยิ้มบางๆให้กับหนุ่มร่างโปร่งที่เดินเข้ามากอดเขาเต็มรัก
     “คิดถึงชะมัด ไปอยู่โน่นตั้ง10กว่าปีเป็นไงบ้างเนี่ย”
     “ก็ดีครับ คิดถึงพี่เหมือนกัน...” ว่าพลางเสตามองไปทางอื่นเพราะคนที่ยืนมองอยู่นั้นส่งสายตาไม่ค่อยพอใจมาให้ แต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจ…
     “ไหนๆก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ทานข้าวกันก่อนนะทุกคน เดี๋ยววันนี้ป้าจะให้แม่ครัวทำอาหารให้สุดฝีมือเลยนะ”
     “ฝากบอกให้ทำอาหารไทยเยอะๆนะครับคุณป้า ผมอยากให้อเลนลองทานดูบ้าง” ว่าจบก็หันไปยิ้มให้กับเพื่อนสนิทที่ส่งยิ้มบางๆกลับมา ทำเอาคนที่ลอบมองอยู่ตั้งแต่ต้นถึงกับรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่…
     “ไปป๋า ไปกินข้าวกันเหอะ ตั้มหิ๊วหิว” ร่างเล็กกล่าวกับเพื่อนก่อนจะทำทีเป็นคล้องแขนเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ สุทธินันท์หันไปยิ้มให้คนข้างๆ แม้จะรู้สึกน้อยใจคนที่อยู่ด้านหลัง แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ และถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ภายในได้แต่เตือนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอย่าหันกลับไปมอง…
     เพราะรู้ดีว่าดวงตาคู่นั้นกำลังมองมาที่เขาด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกับวันนั้น…
    


“อะไรนะครับ หมั้น!!” เสียงสองเสียงที่ดังขึ้นบนโต๊ะอาหารทำเอาเหล่าคนใช้ที่เดินผ่านสะดุ้งไปตามๆกัน เช่นเดียวกับธนบูรณ์และอเลนที่ขมวดคิ้วด้วยเหตุผลที่ต่างกัน คือคนหนึ่งแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่อีกคนไม่เข้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน…
“ใช่ พ่อกับแม่ตัดสินใจแล้วว่ามันถึงเวลาที่ทั้งสองคนจะต้องหมั้นกัน” คุณณัฐวัฒน์เอ่ยก่อนจะยกชาฝรั่งเศสขึ้นจิบโดยที่คุณสาลินีย์พยักหน้าเห็นด้วย
“ก่อนที่พ่อกับแม่ของตองจะเสียได้คุยกับลุงและป้าไว้แล้วว่าอยากให้ทั้งสองคนแต่งงานกัน แต่เรากลัวว่ามันจะเป็นการเร่งรัดเกินไปเลยอยากให้หมั้นกันก่อน” คำของคนเป็นแม่ทำให้สุทธินันท์แทบอยากจะกอดคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นตกใจเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงยังไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้
“แต่ตองไม่ได้บอกนะครับว่าจะ...”
“แค่นี้ทำให้พ่อกับแม่เขาไม่ได้เหรอลูก?” เมื่อผู้มีพระคุณอ้างชื่อผู้บังเกิดเกล้า กวินทร์จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากจิ๊ปากขัดใจและเอนหลังกับพนักพิง ทุกสิ่งที่คิดจะค้านต้องกลืนลงคอหอยไปหมด...
ก็ในเมื่อมันไม่เหมือนเดิมแล้วจะให้ตกลงได้อย่างไร…
“อิ่มแล้วผมขอตัวขึ้นห้องนะครับ”
กวินทร์เอ่ยหลังจากที่ก้มหัวให้เพื่อนรุ่นพี่ของแม่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่เสียงของคนเป็นป้าก็ทำให้ชายหนุ่มต้องชะงัก
“เดี๋ยวตอง ป้าลืมบอกไปเลยว่าให้เราย้ายไปอยู่ห้องเดียวกันกับพี่เอ็มนะลูก ป้าให้เด็กย้ายของทั้งหมดของตองไปไว้ในห้องนั้นแล้ว คืนนี้เข้าไปนอนได้เลยนะ”
“เอ่อ...ครับ” รู้ว่าอย่างไรก็คงไม่อาจฝืนคำสั่งของคุณหญิงสาลินีย์ได้ กวินทร์จึงเลือกที่จะพยักหน้าและเดินออกไปจากห้องอาหารอย่างเงียบๆ ธนบูรณ์ที่กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บรายละเอียดกับอาหารในจานเงยหน้าขึ้นมองแม่ของเพื่อนเมื่อถูกเธอสะกิด คุณสาลินีย์พยักเพยิดไปทางทายาทเพียงคนเดียวและขยิบตา เขาพยักหน้ายิ้มๆรับท่าทางนั้นก่อนจะพูดทำลายความเงียบขึ้น
“ป๋า หนังสือที่ยืมผมมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วยังไม่ได้คืนเลยนะ”
“หนังสืออะไรวะ??” คำพูดของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทำให้สุทธินันท์ที่เพิ่งวางผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะต้องเงยหน้ามองอีกคนและเป็นฝ่ายถามต่อ
“เชอร์ล็อค โฮล์มไง” ธนบูรณ์อ้างชื่อนวนิยายสืบสวนชื่อดังที่เขาและเพื่อนสนิทชอบมาก แต่เพราะช่วงนี้เขารู้ว่าสุทธินันท์ยุ่งกับงานที่บริษัทจึงไม่ค่อยมีเวลาว่างไปซื้อเล่มล่าสุดมาอ่านเองถึงได้ขอยืมหนังสือของเขาและยังไม่ได้คืนเลย…
“ยังอ่านไม่จบเลย อยากได้คืนแล้วเหรอ” หนุ่มหน้าคมขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน
“อืม เดี๋ยวกินข้าวเสร็จผมก็จะกลับละ ป๋าไปเอาให้หน่อยดิ” ร่างโปร่งพยักเพยิดไปทางบันไดในห้องโถงที่เป็นทางขึ้นไปสู่ชั้นสองของคฤหาสน์ สุทธินันท์หันไปก้มหัวให้กับคุณชายและคุณหญิงของบ้านก่อนจะลุกเดินออกไป แล้วทุกคนก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อโดยที่ชาวต่างชาติเพียงคนเดียวได้แต่เก็บความแคลงใจเอาไว้ ถึงจะไม่รู้ว่าครอบครัวของเพื่อนสนิทคุยอะไรกันแต่การที่พี่ชายของทาเลนโต้ของเขาเดินตามเจ้าตัวไปหลังจากที่ออกไปจากห้องอาหารได้ไม่นานนั่นไม่นับว่าเป็นเรื่องปกติแน่ๆ…
ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆนะ…




-To Be Continued-




[ช่วง ไรท์เตอร์ขี้ฝอย]
สุดท้ายก็คลอดออกมาจนได้สำหรับฟิคสั้นแก้บนของไรท์เตอร์ที่แอบจิ้นคู่นี้อยู่ลึกๆTvT ตอนแรกอยากจะแต่งเล่นๆเอาไว้อ่านฟินๆคนเดียว แต่เพราะบนแท้ๆว่าถ้ามีโมเม้นเอ็มตองให้จิ้นตอนนัดคัดบอลโลกที่ผ่านมาจะลงฟิคเรื่องนี้แก้บน มันก็ดันมีโมเม้นขึ้นมาจริงๆ ฮืออออ ขอบอกก่อนเลยนะคะว่าฟิคเรื่องนี้ติ่งเอ็มตั้ม และตอง...(กะใครดีมีหลายคนเกิน-w-)ไม่ควรอ่านเด็ดขาด หรือถ้าใครหลวมตัวเข้ามาอ่านแล้วรับไม่ได้ก็หยุดไว้แค่ตรงนี้ได้นะคะ เพื่อสวัสดิภาพของทุกท่านเอง-v-; ปล่อยไรท์บ้าไปคนเดียวในโลกส่วนตัวก็ได้ แฮะๆ แต่ถ้าใครพอรับได้หรือแอบจิ้นคู่นี้เหมือนไรท์ก็ฝากติดตามฟิคสั้นแก้บนความยาวประมาณ4ตอนเรื่องนี้ด้วยนะคะ สุดท้ายนี้ก็ขอฝากติดตามผลงานของไรท์เตอร์ทั้งในบล็อกเกอร์และเว็บเด็กดี http://writer.dek-d.com/skyscrapers/ นะคะ ขอบคุณค่ะ